ภาคอุตสาหกรรมกำลังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นต่อผลกระทบด้านเศรษฐกิจเมื่อการส่งออกของไทยปี 2567 ขยายตัว 5.4% ในขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 58.44% เป็นการปรับลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และเป็นระดับที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนภาคเอกชนในอนาคต
ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 26 ก.พ.2568 ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 2.00% โดยส่วนหนึ่งเห็นว่าภาคการผลิตของไทยเผชิญแรงกดดันหลายด้าน ซึ่งภาคการผลิตมีสัดส่วนต่อจีดีพี 10% และกลุ่มที่เปราะบางที่สถานการณ์ทรงตัวหรือแย่ลงมี 6 กลุ่ม คือ
1.อุตสาหกรรมยานยนต์ มีสัดส่วนในจีดีพีของปี 2567 ที่ 2.0% เจอปัญหาลบจากเทคโนโลยีเปลี่ยนจากเครื่องยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี)
2.เคมีภัณฑ์ มีสัดส่วนต่อจีดีพี 2.2% เจอปัจจัยลบจากการแข่งขันกับต่างประเทศ
3.ยางและพลาสติก มีสัดส่วนในจีดีพี 1.5% เจอปัจจัยลบจากการแข่งขันกับต่างประเทศในกลุ่มสินค้าปิโตรเคมี แต่ได้รับปัจจัยบวกจากการบังคับใช้กฎหมายด้านการนำเข้าที่มีส่วนในการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) ของยุโรป
4.IC และเซมิคอนดักเตอร์ มีสัดส่วนในจีดีพี 1.1% เจอปัจจัยลบจากเทรนด์ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และได้รับปัจจัยบวกจากการย้ายฐานการลงทุน PCB
5.วัสดุก่อสร้าง มีสัดส่วนในจีดีพี 0.9% เจอปัจจัยลบจากการแข่งขันจากต่างประเทศ
6.สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีสัดส่วนในจีดีพี 0.8% เจอปัจจัยลบจากค่าแรงสูง และการไม่มีข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศคู่ค้าสำคัญ
ทั้งนี้ กนง.ให้ความสำคัญกับการที่อุตสาหกรรมยานยนต์ถูกกดดันจากปัจจัยเฉพาะ และการแข่งขันกับอีวี ซึ่งทำให้ยอดขายมีทิศทางที่ลดลง
นอกจากนี้ ในปี 2567 บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญโดย “ซูบารุ” ได้หยุดผลิตรถจากโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังหลังวันที่ 30 ธ.ค.2567 โดยยังคงวางจำหน่ายในไทย แต่จะนำเข้ามาจากญี่ปุ่นแบบทั้งคันเหมือนตลาดเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ที่จะเปลี่ยนไปจำหน่ายรถนำเข้าเช่นกัน
ในขณะที่ “ซูซูกิ ประเทศไทย” ได้ยุติการผลิตรถยนต์จากโรงงานในไทยภายในช่วงสิ้นปี 2568 โดยยังจำหน่ายรถยนต์และให้บริการหลังการขาย แต่จะเปลี่ยนไปนำเข้ารถยนต์จากโรงงานในอาเซียน ญี่ปุ่นและอินเดียแทน
รายงานข่าวจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ระบุว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตในปี 2567 อยู่ที่ 58.44% เทียบกับปี 2558 อยู่ที่ 68.11% ถือว่าในรอบ 10 ปี การใช้กำลังการผลิตลดลงไปมาก โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันตั้งแต่ปี 2565-2567 สะท้อนภาคการผลิตที่ไม่ฟื้นตัว
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สศอ.กล่าวว่า กำลังการผลิตที่ต่ำกว่า 60% จากการผลิตยานยนต์ที่ต่ำกว่าเป้าจากคาดการณ์เดิม 1.9 ล้านคัน ได้ปรับเหลือ 1.5 ล้านคัน รวมถึงปัญหาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทะลักกดดันการผลิตภายในประเทศซึ่งมูลค่าการนำเข้าปี 67 ขยายตัว 6.3% นำเข้าเพิ่มขึ้นจากจีน ไต้หวัน และเวียดนาม โดยมูลค่าการนำเข้าขยายตัว 1.38%, 24.4% และ 18.1% ตามลำดับ